Twitter Facebook Google Plus LinkedIn RSS Feed Email
ยินดีต้อนรับจร้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อก นิทายสอนเด็ก จากประสบการณ์ที่ผมเล่านิทานให้ลูกสาวฟังก่อนนอนทุกคืน จึงได้รวบรวมนิทานที่ลูกสาวชอบฟังไว้ที่นี่ ไปชมกันเลยครับ

หมาป่าในรางหญ้า

image
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.....หมาป่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆกับโรงนา มันชอบแอบเข้าไปงีบหลับอยู่ในรางหญ้าของวัวในโรงนาอยู่เสมอ เพราะว่าอุ่นและนอนหลับสบาย
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าหมาป่าได้กระโดดเข้าไปในรางหญ้าของวัวอีก แล้วก็ขดตัวลงบนหญ้าในรางนั้น  แต่ไม่นานเท่าไหร่ เจ้าวัวก็กลับมาจากการทำงาน ก็ได้เข้ามาที่รางหญ้าเพื่อจะกินหญ้า
เจ้าหมาสะดุ้งตื่น มันรู้สึกโกรธเดือดดาลเป็นอย่างมาก
มันลุกขึ้นยืนเห่าวัว และเมื่อวัวจะเข้าไปกินหญ้ามันก็ทำท่าจะกัด
ลุกขึ้นแยกเขี้ยวเห่าไล่วัว ไม่ให้กินหญ้า

วัวจึงพูดด้วยความอดกลั้นว่า
“เจ้าหมาเกเร หญ้านี่มันเป็นอาหารของข้า เป็นหญ้าที่เจ้าไม่กิน เจ้าก็ยังขัดขวางไม่ให้ข้ากินอีกรึ”
เจ้าหมาป่ามันก็เห่าวัวอย่างโกรธเคือง จนสุดท้ายวัวจึงต้องเดินออกไปจากที่ตรงนั้น
แล้วไปกินหญ้าในรางอื่นรอบๆโรงนาแทน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนนิสัยพาล…มักขัดขวางและทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสมอ”



นกเขากับนกอินทรีย์

       กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว… ในวันอากาศแจ่มใส ในป่าสนแห่งหนึ่ง มีนกเขาและเพื่อน ๆ ของมันบินมาเกาะที่ขอนไม้ใหญ่ พวกมันกำลังหาแมลงตัวเล็กกินเป็นอาหาร เจ้านกเขาเอ่ยขึ้นว่า “นี่พวกเราเห็น เห็นเจ้านกอินทรีย์ตัวใหญ่ที่มันบินมาจิกกินเพื่อน ของเราไปวันก่อนไหม นี่ถ้าฉันมีโอกาสได้เป็นนกอินทรีย์ตัวใหญ่นะ ฉันก็จะจับพวกสัตว์ป่า กินให้อิ่มท้องไปเลย”
image
ได้ยินดังนั้นพวกเพื่อนๆนกเขาต่างไม่ชื่นชอบและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะนกอินทรีย์เป็นนกที่ดุร้ายชอบทำร้ายสัตว์ที่ด้อยกว่า พวกเพื่อน ๆ จึงพากันบินหนีจากไป ไม่อยากคุยกับเจ้านกเขาที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น
image
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้านกอินทรีย์ได้บินผ่านมาทางเดิม เจ้านกเขามองไปเห็น มันจึงแอบเฝ้ามองดูกริยา และการกระทำของเจ้านกอินทรีย์ มันพยายามเลียนแบบนกอินทรีย์ ขณะนั้นเอง ขนของเจ้านกอินทรีย์ได้ร่วงหล่นลงมาที่พื้น มันแอบดูอยู่จนนกอินทรีย์บินจากไป เจ้านกเขารีบบินไปจิกเอาขนนกอินทรีย์มา แล้วมันก็พยายาม เอาขนของนกอินทรีย์มาปักตามปีกของมัน มันรู้สึกภาคภูมิใจที่มันสามารถเป็นนกอินทรีย์ได้
image
เจ้านกเขานึกสนุก คิดจะลองแกล้งเพื่อนๆ   มันจึงบินเข้าไปใกล้เพื่อนของมัน แล้วเลียนแบบกิริยาท่าทางนกอินทรีย์ มันบินพุ่งเข้าหาเพื่อน พวกเพื่อน ๆ พากันตกใจกลัว นึกว่าเป็นนกอินทรีย์จริงๆ จึงพากันบินหนีเอาตัวรอดอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนเจ้านกเขาที่ได้แกล้งเพื่อน มันนั่งหัวเราะอย่างมีความสุข ที่เห็นเพื่อน ๆ หลงเชื่อว่า มันเป็นนกอินทรีย์จริง ๆ
image
เจ้านกเขาที่แกล้งเพื่อน มันต้องยืนอยู่ที่ขอนไม้ตัวเดียว เพราะพวกเพื่อนๆ ต่างพากันบินหนีไปหมด ช่วงที่มันกำลังมีความสุขที่ได้แกล้งเพื่อนๆ ทำให้มันไม่ได้ทันระวังตัว และทันใดนั้นเอง เจ้านกอินทรีย์ตัวจริงเสียงจริง ก็บินมาตะครุบเจ้านกเขาฉีกกินมันเป็นอาหาร อย่างสบาย โดยไม่ต้องบินวนหา ให้ยาก
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
2. ความประมาทนำมาซึ่งความหายนะ
3. การกลั่นแกล้งผู้อื่นเป็นนิสัยที่ไม่ดี ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง
               จำไว้นะครับเด็กๆ









สุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กับกา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..............ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นช่วงฤดูแล้งมากจนผิดปกติ
สัตว์ต่างๆในป่าต่างล้มตายลงจำนวนมากเพราะความหิว ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ
ช่วงบ่ายของวันหนึ่ง........มีกาตัวดำคาบเนื้อชิ้นใหญ่ ที่หามาได้จากในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ห่างไกลออกไป มันคาบเนื้อก้อนนั้นอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

image
ขณะนั้นเอง ได้มีเจ้าสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหิวโหย เนื่องจากไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
เจ้าสุนัขจิ้งจอกเห็นเนื้อที่กาคาบไว้อยู่ จึงอยากได้เนื้อนั้นมากิน จะทำอย่างไรดีหนอ เจ้าสุนัขจิ้งจอกคิด และแล้วมันก็นึกอุบายออก จึงบอกกับกาว่า

“เจ้ากาเอ๋ย ข้าเคยได้ยินมาว่า เจ้าเป็นนกที่มีเสียงไพเราะมาก แต่มันไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เจ้ากาได้ยินดังนั้น นึกหลงตัวเองที่มีเสียงไพเราะ เจ้ากาจึงอ้าปากแผดเสียงของมันออกมา
ทำให้เนื้อก้อนโตที่อยู่ในปากของกาหลุดออกจากปาก หล่นลงมา เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงรีบคาบไว้

image
เมื่อได้ก้อนเนื้อสมใจ เจ้าสุนัขจิ้งจอก มันก็ได้บอกความจริงว่า
“เจ้ากาเอ๋ย นอกจากเสียงเจ้าจะไม่ไพเราะแล้ว สติปัญญาของเจ้าก็ยังโง่เขลาอีกด้วย”
กาเสียใจมากที่หลงเชื่อกลอุบายของสุนัขจิ้งจอก
แต่กาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ฟังเสียงท้องร้องของตนเอง

นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า“อย่าไว้ใจคนประจบสอพลอ..…ถ้อยคำเยินยอมักหวังผลประโยชน์เสมอ”










คางคกกับกระต่าย

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว….  ที่บริเวณริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง มีเจ้าคางคกตัวโตอาศัยอยู่บริเวณนั้น เจ้าคางคกตัวนี้มันชอบออกมาหาอาหาร หาแมลงกิน บริเวณริมแม่น้ำ เป็นประจำทุกวัน
image
บริเวณแถวแม่น้ำแห่งนี้ มีสัตว์ตัวอื่นอาศัยอยู่มากมาย เจ้าคางคกมันมีนิสัยชอบคุยโวโอ้อวด ต่างๆนาๆ ว่าตัวเองนั้นเก่งกว่าสัตว์ตัวอื่นๆ จนสัตว์ตัวอื่นต่างเอือมระอา
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้าคางคกก็ออกมาหาอาหารบริเวณริมแม่น้ำเช่นทุกครั้ง ได้พบกับกระต่ายที่เดินผ่านมากินหญ้าที่ริมแม่น้ำว่า

“นี่เจ้ากระต่าย รู้ไหมว่าเราโชคดีแค่ไหน”
“โชคดียังไง เจ้าคางคก” กระต่ายถาม
“ข้าบังเอิญ ได้ยาวิเศษมาน่ะสิ สามารถรักษาพวกสัตว์ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไร ร้ายแรงขนาดไหน ก็รักษาได้ ” เจ้าคางคกได้ที ก็คุยโวเป็นการใหญ่
image
เจ้ากระต่ายและสัตว์ตัวอื่น ๆ นึกแปลกใจที่เจ้าคางคกพูดเช่นนั้น
เจ้ากระต่ายจึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่เจ้าดูคล้ายเป็นโรคร้ายนะ ผิวขรุขระ ถ้ามียาดีแล้วทำไมไม่รักษาตัวเจ้าก่อนหละ “ 
คางคกได้ยินดังนั้นจึงก้มลงมองตัวเอง เป็นความจริงดังเจ้ากระต่ายว่า จึงเกิดความอาย ที่ตัวเองมีตุ่มเป็นเม็ด ๆ เต็มไปหมดทั้งตัว จึงกระโดดลงน้ำไป
image
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. การคุยโวโอ้อวดเกินความจริง ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย
2. การพูดหรือทำสิ่งใดก็ตาม ต้องดูตัวเองก่อน














กวางน้อยกับคนเลี้ยงกวาง

กวางน้อยกับคนเลี้ยงกวาง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…  ที่ฟาร์มเลี้ยงกวาง มีกวางน้อยน่ารักตัวหนึ่ง มีนิสัยชอบเล่น วิ่งเล่นสนุกสนาน ไม่อยู่นิ่ง ไม่ชอบอยู่ในฝูงมักวิ่งหนีออกไปเล่นที่อื่นเสมอ และบ่อยครั้งคนเลี้ยงกวางจะต้องไล่ตามกวางน้อยให้กลับเข้ามาในฝูง เพื่อไม่ให้ พลัดหลงไปอยู่กับ กวางของคนอื่น
image
คนเลี้ยงกวางต้องเหนื่อยกับการไล่จับเจ้ากวางน้อยเสมอ จนรู้สึกเบื่อหน่ายและรำคาญมาก วันหนึ่งเจ้ากวางน้อยวิ่งหนีออกไปเล่นที่อื่นอีก คนเลี้ยงเกิดความโมโหมาก จึงเอาไม้ท่อนตีเข้าที่ขาหลัง จนเจ้ากวางน้อยล้มลงเดินไม่ได้ เพราะเจ็บที่ขา
image
คนเลี้ยงกวางนึกได้ว่านายจ้างคงต้องดุด่าตนเป็นแน่แท้ ที่ทำให้กวางบาดเจ็บ อาจโดนไล่ออกได้ จึงรีบทำแผลเพื่อ ปกปิดความผิด ที่ทำไว้ กวางน้อยเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ความจริงก็เป็นความจริงจะให้เป็นอย่างอื่น คงเป็นไปไม่ได้แน่ ท่านจะไปกังวลใจทำไม”
คนเลี้ยงนึกเสียใจที่ได้ทำลงไปแบบนั้น เพราะอารมณ์ความโกรธ เป็นเพราะตัวเอง ที่ใจร้อนไม่ทันคิด ไม่ทำให้เป็นผลดีแต่อย่างไร ทำให้ตน ต้องมานั่งลำบากใจ ที่ต้องมาคอยตอบนายจ้างอีก จะตำหนิกวางน้อยก็ไม่ได้เพราะ มันเป็นแค่สัตว์

นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ” การกระทำสิ่งใด ต้องคิดก่อนทำเสมอ








หมาป่ากับลา

image
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..........ที่ทุ่งหญ้าอันเขียวขจี เจ้าลาตัวหนึ่งกำลังเล็มกินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าอย่างเอร็ดอร่อย มันได้รู้สึกว่าได้ตกเป็นเป้าหมายของหมาป่าตัวหนึ่งคอยดักจับอยู่ มันก็เลยแกล้งทำเป็นขาพิการ เดินกะเผลกๆ เมื่อหมาป่าถาม เจ้าลาก็ตอบว่ามันเพิ่งเดินไปเหยียบหนามอันแหลมคมเข้า ปักเท้าของมันอยู่
“ระหว่างทางที่มาทุ่งหญ้า ข้าเดินไปเหยียบหนามอะไรก็ไม่รู้แน่ะ ท่านหมาป่า”
“เดินยังไงเหยียบหนามเข้าล่ะ ซุ่มซ่ามจริงๆ” เจ้าหมาป่ากล่าว
“นั่นสิท่าน และหากท่านจะกินข้าซะตอนนี้ ข้าเกรงว่าหนามอาจจะเข้าไปติดคอท่านก็ได้ ท่านจึงต้องดึงหนามออกก่อน” เจ้าลาใช้สติปัญญาในการเอาตัวรอด
“ไหนล่ะ” หมาป่าตอบตกลงทันที…แล้วมันก็ยกขาของลาขึ้น
image
แต่…ในขณะที่หมาป่ามันกำลังตั้งใจหาหนามอยู่นั้น
ลาก็เตะหน้าหมาป่าด้วยขาหลังทั้งสองอย่างแรง และออกวิ่งหนีไปโดยเร็ว

หมาป่างุนงงด้วยแรงเตะพลางพูดว่า
“สมน้ำหน้าตัวข้าเอง ที่มัวแต่พยายามทำตัวเป็นหมอรักษา ที่พ่อข้าเองก็ไม่ได้สอน สอนแต่การฆ่าสัตว์เท่านั้น”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ทุกคนมีความชำนาญเป็นของตน”

“การใช้สติปัญญา สามารถเอาตัวรอดได้แม้ยามคับขัน”











ลาใจดำ

image
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...........มีพ่อค้าอยู่คนหนึ่งได้นำสัมภาระและสินค้าบรรทุกมาในเกวียนเพื่อนำไปขาย แล้วให้วัวกับลาช่วยกันลากเกวียนไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง เเม้จะเทียมเเอกคู่กันเเต่ลานั้นเอาเปรียบวัว ไม่ค่อยยอมออกเเรงช่วยลากซักเท่าไหร่
วัวต้องออกแรงอยู่เพียงฝ่ายเดียวจนเหนื่อยหอบ จึงเอ่ยปากขอร้องให้ลาช่วยออกเเรงลากเกวียนด้วยกันกับตน
“นี่เจ้าลา ช่วยออกแรงหน่อยสิ ข้าออกแรงอยู่ฝ่ายเดียว”
เเต่ลาก็กลับตอบไปว่า ตนนั้นช่วยออกเเรงอย่างเต็มที่อยู่เเล้ว
“ข้าก็ช่วยออกแรงเต็มที่แล้ว ยังมาว่ากันอีก”
แต่วัวไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น วัวจึงได้แต่ออกแรงลากเกวียนตามลำพังจนขาหัก เเล้วขาดใจตายไปในที่สุด
พ่อค้าจึงเเล่เอาเนื้อวัวใส่เกวียนบรรทุกให้ลาลากไป เกวียนจึงมีน้ำหนักมากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
“นี่ถ้าช่วยเจ้าวัวลากเกวียนก็คงดี ไม่ต้องมาลากเกวียนหนักๆแบบนี้”
เมื่อถึงเวลาที่ลาหมดเเรงจวนเจียนใกล้จะสิ้นใจ มีนกฝูงหนึ่งบินตามมาจิกกินเนื้อวัว ก็กล่าวขึ้นกับลาว่า ถ้าช่วยวัวออกเเรงลากเกวียนตั้งแต่ต้น เจ้าก็คงไม่ต้องมาลากเกวียนจนเจียนจะตายเยี่ยงนี้ดอกเจ้าลาใจดำ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ที่ไม่คิดช่วยเหลือเกื้อกูล คิดจะเอาเปรียบผู้อื่นร่ำไป ย่อมได้ภัยเเก่ตนในที่สุด









 
Copyright © -2012 นิทานสอนเด็ก All Rights Reserved | Template Design by Favorite Blogger Templates | Blogger Tips and Tricks