Twitter Facebook Google Plus LinkedIn RSS Feed Email
ยินดีต้อนรับจร้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อก นิทายสอนเด็ก จากประสบการณ์ที่ผมเล่านิทานให้ลูกสาวฟังก่อนนอนทุกคืน จึงได้รวบรวมนิทานที่ลูกสาวชอบฟังไว้ที่นี่ ไปชมกันเลยครับ

ลิงผู้หลงตนเอง

image
ครั้งหนึ่งสิงโตที่เป็นเจ้าป่าได้ตายลงสัตว์ในป่าจึงขาดผู้นำ
“พวกเราจะเลือกใครเป็นหัวหน้าแทนท่านสิงโตดี” สัตว์ทั้งหลายปรึกษากัน

“คนเป็นหัวหน้าต้องฉลาดและปราดเปรียว!” ช้างแนะนำ
ลิงกล่าว “ข้าเองจะขอเป็นผู้คุ้มกันให้” สัตว์ทั้งหลายจึงเลือกลิงให้เป็นเจ้าป่า
“ข้าคือเจ้าป่ารึ?” ลิงถามตนเอง “ข้ามีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในป่านี้…ไม่น่าเชื่อข้าจะได้เป็นเจ้าป่า”
เมื่อลิงได้รับยกย่องให้เป็นเจ้าป่า ลิงก็หยิ่งผยอง ผิดไปจากเดิม

image
“เจ้าเสือ เจ้าหนู เจ้ากระรอก แกไปหาผลไม้หวานๆ มาให้ข้ากิน” ลิงออกคำสั่ง
“นกน้อยร้องเพลงกล่อม อย่าหยุดเสียงจนกว่าข้าจะสั่ง!”
นับวันลิงใช้อำนาจข่มขี่สัตว์ใหญ่น้อยมากขึ้น และคุยโอ้อวดความสามารถของตนมากมาย
“ท่านจะมีความสามารถเท่าที่คุยหรือเปล่าหนอ?” สุนัขจิ้งจอกเฒ่าตัวหนึ่งเกิดสงสัย
ต้องทดสอบความสามารถท่านดู

image
คิดแล้วสุนัขจิ้งจอกเฒ่าจึงบอกกับลิงเจ้าป่าว่า
“ท่านเจ้าป่า ที่ตรงชายทุ่งแทบโน้นข้าพบต้นไม้ใหญ่ใบดก
มีผลสุกงอมหอมหวานน่ากินเหลือเกิน”
“เจ้าไปนำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ลิงออกคำสั่ง “โธ่ ท่านก็รู้ ข้าปีนต้นไม้ไม่เป็น”
สุนัขเฒ่าพูดอย่างน่าสงสาร “เห็นมีก็แต่ท่านนี่แหละที่จะขึ้นไปเด็ดได้”
“เจ้าโง่…แก่แล้วยังเซ่ออีกต่างหาก” ลิงอวดฉลาดรีบให้สุนัขจิ้งจอกพาไปยังที่หมาย

image
และในที่สุดก็ติดจั่นนายพรานหาทางออกไม่ได้ “ช่วยข้าออกไปด้วย” ลิงสั่ง
“ท่านเฉลียวฉลาดกว่าพวกข้ามากนัก แค่ถูกขังอยู่ในกรงแค่นี้คง
หาทางออกได้ พวกข้าไปก่อนละนะ”












ลูกหมู 3 ตัว

image
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่หมูกับลูกหมูสามตัว อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง
ลูกหมูที่เป็นพี่ใหญ่ เป็นหมูที่เกียจคร้านเป็นอย่างมาก
มักจะแอบไปหาที่หลบหลับนอนตลอดเวลา
ส่วนลูกหมูตัวที่สองเป็นหมูจอมตะกละ ไม่ชอบทำงาน
แม้เวลางานก็มักจะหาเรื่องพักและกินอาหารที่แอบนำมาด้วยเสมอ
ส่วนลูกหมูตัวที่สามนั้น เป็นหมูที่ขยันขันแข็ง และชอบทำงานเป็นอย่างมาก

image
ถึงแม้ว่าลูกหมูตัวสุดท้องจะขยันขันแข็งทำงานอย่างไรก็ตาม
แต่อาหารที่หามาได้ก็ต้องหมดไปในไม่ช้า
เหตุเพราะที่บ้านของเขานั้นมีหมูจอมขี้เกียจ กับหมูจอมตะกละอยู่ตั้งสองตัวนั่นเอง
วันหนึ่งแม่หมูจึงพูดกับลูกหมูทั้งสามว่า
“พวกลูกๆโตเกินกว่าจะอยู่ในบ้านหลังน้อยของแม่แล้ว
ถึงเวลาที่ลูกๆจะต้องมีบ้านเป็นของตัวเองได้แล้วล่ะจ้ะ
น้องหมูตัวสุดท้องเมื่อได้ฟังแม่หมูพูดเช่นนั้น…
ก็เกิดปิติยินดีเป็นอย่างมาก ที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง
“เราจะสร้างบ้านแบบไหน แล้วจะเอาอะไรมาสร้างเป็นบ้านดีนะ”

ส่วนพี่หมูตัวโตขี้เกียจได้ยินแม่หมูพูดเช่นนั้น ก็พูดบ่นทันที
ด้วยไม่ชอบที่จะทำงานอยู่แล้ว
จึงโดนแม่หมูดุว่า
“ไม่ได้น่ะ ลูกโตแล้ว ต้องรู้จักดูแลตัวเองได้แล้ว จะมัวทำตัวขี้เกียจต่อไปไม่ได้นะ”
เมื่อพี่หมูตัวโตโดนแม่ดุ จึงต้องออกไปสร้างบ้านอย่างที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก

ลูกหมูสามตัวออกเดินทาง และมาถึงชายป่าแห่งหนึ่ง
พวกมันตัดสินใจจะสร้างบ้านบริเวณนี้ใกล้ๆกัน
และเดินทางไปตลาดเพื่อซื้อของสร้างบ้าน

image
ใหญ่ซื้อฟางไปสร้างบ้านจะได้ไม่เหนื่อยและไม่หนักด้วย
พี่รองซื้อเศษไม้ไปสร้างบ้านตอกตะปูไม่กี่ทีก็เสร็จแล้ว
และยังต้านลมที่พัดมาแรงๆได้อย่างแน่นอน
น้องเล็กซื้ออิฐมาสร้างบ้าน พี่ใหญ่พี่รองเห็นหัวเราะ และบอกว่า
“ทำไมเจ้าโง่อย่างนี้ กว่าจะแบกไปกว่าจะสร้างบ้านเสร็จก็ใช้เวลานาน”
น้องเล็กจึงพูดว่า “แต่ถ้าเราใช้อิฐสร้างบ้าน มันก็จะแข็งแรงและทนทานกว่า พี่ๆใช้ฟางกับเศษไม้มันไม่ปลอดภัยนะพี่”
แล้วทั้ง 3 พี่น้องก็แบกของกลับบ้าน พอถึงชายป่าต่างก็แยกย้าย…มาสร้างบ้านของใครของมัน

image
ลูกหมูตัวที่หนึ่งสร้างบ้านด้วยฟางใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จ
ส่วนลูกหมูตัวที่สองสร้างบ้านด้วยเศษไม้ใช้เวลาไม่นานก็สร้างบ้านเสร็จ
และทั้งสองไปดูน้องเล็กสร้างบ้านซึ่งยังไม่เสร็จ
น้องเล็กต้องค่อย ๆ ก่ออิฐทีละก้อนทีละอันกว่าจะสร้างเสร็จก็อีกหลายวัน
เพราะอยากได้บ้านที่แข็งแรงและปลอดภัย
น้องเล็กจึงไม่เชื่อพี่ๆทั้งสอง ที่บอกให้เปลี่ยนมาใช้ฟางกับเศษไม้

image
ลูกหมูทั้งสองจึงออกไปวิ่งเล่นว่ายน้ำ ส่วนน้องเล็กก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างบ้านจนเสร็จ
ตกดึกทั้งสามตัวก็เข้านอนบ้านใครบ้านมัน จนกระทั่งคืนหนึ่งงมีเจ้าหมาป่ามาซุ่มดู
หวังจะมาจับลูกหมูทั้ง 3 ตัวมาเป็นอาหาร

image
และไปบ้านลูกหมูที่สร้างบ้านด้วยฟางก่อน พอมันมาถึงประตู มันก็พูดขึ้นว่า …
เจ้าลูกหมูน้อยออกมาให้ข้ากินดีกว่านะ ไม่ฉันไม่เปิดประตูให้แกหรอก ไป๊ไปให้พ้นนะ
ไม่เปิดไม่เป็นไร บ้านฟางแบบนี้ข้าเป่าก็พังและ แย่แล้ว บ้านฟางของฉันพังหมดแล้ว
มามะมาให้พี่หมาป่ากินดีกว่า

image
เจ้าลูกหมูรีบวิ่งไปหาน้องกลางที่สร้างบ้านด้วยเศษไม้
และเจ้าหมาป่าก็มาเคาะที่ประตูแล้วบอกให้เปิด
ลูกหมูบอก “ไม่มีทางข้าไม่ยอมเปิดประตู ให้หมาป่าใจร้ายเด็ดขาด”
“อ๋อเหรอ…บ้านไม้ที่ไม่แข็งแรงแบบนี้ แค่ข้ากระโดดกระแทกประตูสองที
มันก็พังแล้วหละ…เอาหละนะ…1 2 3 “ หมาป่ากล่าว
แล้วเจ้าหมาป่าก็พังประตูเข้ามาได้ เจ้าหมูทั้งสองรีบวิ่งไปบ้านอิฐของน้องเล็ก
โดยที่มีเจ้าหมาป่าวิ่งมาติด ๆ และเล่าให้น้องเล็กฟังว่าบ้านทั้งสองหลังถูกหมาป่าพังไปแล้ว

image
เจ้าหมาป่าก็มาถึงบ้านน้องเล็ก มาเคาะประตู
มันพูดขึ้นว่า เปิดให้ข้าเข้าไปกินเดี๋ยวนี้นะ ไม่เปิดจะพังบ้านอีกหลังนะ
น้องเล็กตะโกนบอก ”กลับไปเจ้าหมาป่า เจ้าไม่มีทางพังบ้านหลังนี้ได้หรอก”
“เดี๋ยวจะเป่าให้บ้านพังไปเลย” หมาป่ากล่าว แล้วมันก็รวบรวมลมเป่า แต่บ้านก็ไม่ยอมพัง
หมาป่าพูดขึ้นว่า “ได้ข้าจะกระโดดกระแทก ให้บ้านพังไปเลย… 1 2 3…
…โอ๊ย… ใครก็ได้ช่วยหมาป่าด้วย”
เจ้าหมาป่ากระโดดกระแทกกับประตูบ้านอิฐอย่างแรง
แต่ด้วยความที่เป็นบ้านแข็งแรงมาก มันจึงเจ็บจนเป็นลมสลบไป

ลูกหมูทั้งสามตัวจึงปลอดภัยในบ้านอิฐของน้องเล็ก
ทั้งสามตัวจึงตกลงกันว่าจะอาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านของน้องเล็กชั่วขณะหนึ่ง…
ตั้งแต่นั้นมา เจ้าหมาป่าได้เงียบหายไป!


























แพะ 2 ตัว

image
กาลครั้งหนึ่ง มีแพะสองตัวกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
…อยู่บนหุบเขาสูงชัน…ที่เต็มไปด้วยหินแห่งหนึ่ง
แพะทั้งสองตัวได้มาพบกัน บริเวณเหวลึกซึ่งมีกระแสน้ำเชี่ยวกราด
ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่งล้มลงมาขวางพาดระหว่างเหว
ซึ่งแม้แต่กระรอกสองตัว…ยังไม่สามารถเดินผ่านอย่างปลอดภัยได้

เส้นทางที่แสนแคบนี้…อาจต้องใช้ความกล้าอย่างมาก…ในการเดินข้าม
แต่ไม่ใช่สำหรับแพะทั้งสองตัวนี้…
ความทะนงตนของมันทั้งสอง
ทำให้…ไม่มีตัวไหนยอมหลบ…ให้อีกตัวที่อยู่ตรงข้าม

เมื่อตัวหนึ่งก้าวขาลงบนท่อนไม้…อีกตัวจึงก้าวตามเช่นกัน
จนมาถึง ณ จุดตรงกลาง…พวกมันจึงใช้เขาชนกัน
เพราะไม่มีใครยอมหลีกทางให้ใคร
ในที่สุดพวกมันทั้งคู่ก็ตกเหว…และถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด…พัดพาไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การรู้จักโอนอ่อนผ่อนปรนบ้าง…ย่อมดีกว่าผู้ทระนงตนหรือมีทิฐิดื้อรั้น…
ที่ส่งผลให้ได้รับเคราะห์ร้ายในที่สุด”






แมลงวันกับโถน้ำผึ้ง

image
ณ ท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่สวยงามมีแมลงวันฝูงใหญ่ฝูงหนึ่งบินผ่านมา
มันพบโถน้ำผึ้งหกตะแครงอยู่น้ำผึ้งหอมหวานไหลนองเต็มพื้น
ฝูงแมลงวันจึงพากันตอมกินน้ำผึ้งอย่างเพลิดเพลินแม้อิ่มแล้วก็ไม่บินจากไป

31_2
จนกระทั่งปีกและขาของเหล่าแมลงวันติดหนึบอยู่ในน้ำผึ้งข้นเหนียว
ไม่มีแรงขยับเขยื้อนแมลงวันตัวหนึ่งจึงพูดขึ้นว่า
“ถ้าพวกเราไม่มัวตะกละตะกลามกินน้ำผึ้ง ก็คงไม่พบจุดจบอย่างนี้หรอก”
พวกมันพยายามจนสุดความสามารถไม่นานนักพวกมันก็ตายไปทีละตัวที่ละตัว
ในที่สุด…ฝูงแมลงวันก็ตายอยู่ในน้ำผึ้งนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้หลงกับความสุขชั่วครู่…อาจพบความทุกข์ได้ในภายหลัง”







แม่ปูกับลูกปู

image
เมื่อน้ำทะเลลดลง แม่ปูก็นำขบวนลูกปูออกหากินตามชายหาด
แม่ปูเห็นลูกๆเดิเฉไปมาวุ่นวาย ไม่เป็นระเบียบก็พูดขึ้นว่า
“ลูกจ๋า…ทำไมเดินโย้เย้ไปมาอย่างนั้นล่ะ
เดินให้ตรงทางซิจะได้หากินเร็วๆ เดี๋ยวน้ำทะเลขึ้นก็หนีไม่ทันหรอก”

ลูกปูจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น แม่ช่วยเดินตรงๆเป็นตัวอย่างให้พวกเราดูหน่อยซิจ๊ะ”
เมื่อแม่ปูเดินให้ลูกปูดู แม่ปูเองก็เดินเฉไม่ตรงทาง
โย้เย้ไปมาตามธรรมชาติของปู แต่แม่ปูกลับไม่รู้สึกตัวเลย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงทำตนให้เป็นตัวอย่าง…ก่อนจะสอนให้ผู้อื่นทำตาม”
ซึ่งการทำตนให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อน ย่อมให้ผลดีกว่าการสั่งสอนเพียงอย่างเดียว




เม่นกับงู

image
กาลครั้งหนึ่ง มีเม่นอยู่ตัวหนึ่ง กำลังเดินหาที่พักที่อยู่อาศัย
มันเดินไปจนพบที่อยู่ของงู จึงของูเข้าไปพักอาศัยอยู่ด้วย
ฝูงงูก็ยอมให้เม่นเข้าไปอาศัยร่วมอยู่ได้

แต่ไม่นานหลังจากนั้น พวกงูก็พบว่า…
เม่นสร้างความลำบากให้กับมันเป็นอย่างมาก
เพราะขนเม่นอันแหลมคม…
ต้องทำให้มันได้รับความเจ็บปวดยามเลื้อยคลานไปบนพื้นอยู่เนืองๆ

ในที่สุด พวกงูก็เอ่ยกับเม่นว่า
“พอกันที…ข้าทนไม่ไหวแล้ว ขอให้ท่านออกไปจากรังของเรา
ให้พวกเราได้อยู่กันอย่างมีความสุขเสียที
“เป็นไปไม่ได้หรอก” เม่นกล่าวแย้ง
“ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
ถ้าใครในพวกเจ้าไม่พอใจที่จะอยู่กับข้า ก็ให้ออกไปเสียสิ!”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด ควรพิจารณาลักษณะนิสัยของผู้นั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน
2. ควรหลีกหนีคนที่มีนิสัยพาลหรือคนเห็นแก่ตัว ที่มักไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น






ม้าลายกับเพื่อนๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… มีม้าลายน้อยตัวหนึ่งซึ่งกำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆของมัน มันวิ่งไปมา ที่สนามหญ้าในป่า อันกว้างใหญ่ ที่พ่อแม่ของม้าลายน้อยได้ยกให้มันดูแล พอเล่นกันเหนื่อยเจ้าม้าลายน้อยก็ชักชวนเพื่อนๆ อนุญาตให้กินหญ้าบริเวณนั้นที่มันดูแลอยู่ได้
image
เวลาผ่านไปหลายวัน พวกเพื่อน ๆ ก็มาเล่นด้วยเป็นประจำ และทุกครั้งม้าลายก็จะชวนเพื่อนๆกินหญ้าด้วย เมื่อกินอิ่มก็จะพากันแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง
image
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าม้าลายน้อยได้ล้มป่วยลง เพื่อน ๆ ต่างก็ไม่สนใจม้าลายน้อย แต่พวกเพื่อนๆแอบเข้ามากินหญ้า ที่ม้าลายน้อยดูแลอยู่โดยไม่ขออนุญาต ม้าลายร้องตะโกนบอกพวกเพื่อน ๆ ว่า ” นี่พวกเธอ ช่วยเอาอาหาร มาให้เราหน่อย เราไม่ค่อยสบายไม่มีแรงที่จะเดินไปกินหญ้าตรงนั้นได้” พวกเพื่อน ๆ ของม้าลายน้อยไม่สนใจ ต่างก็กินหญ้าต่อ เมื่ออิ่มก็จากไปเหมือนกับทุกครั้ง
image
เจ้าม้าลายน้อยได้แต่นอนมอง มันไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขับไล่พวกเพื่อน ๆ ที่เข้ามากินหญ้าของตนได้ ม้าลายน้อยเริ่มหิว มันพยายามลุกขึ้นเพื่อไปกินหญ้าตรงมุมที่ยังเหลืออยู่ มันพยายามที่จะไปให้ถึง เพราะขืนล้มลง มันคงต้องอดตายแน่
image
ไม่นานนัก เจ้าม้าลายน้อยก็ล้มลงตรงที่หญ้าแห้ง มันได้กินเศษหญ้าแห้งประทั่งความหิวเพื่อรอวันตายอยู่ใกล้ ๆ กับหญ้าที่สดเขียวขจี ม้าลายน้อยนึกถึงวันที่ผ่านมา เขามีเพื่อนวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ไม่นึกเลย เพื่อนที่เขาเคยแบ่งปันอาหารให้กินจะไม่มีน้ำใจกับเขาเพียงนี้ เมื่อยามเขาป่วยหวังพึ่งพาเพื่อน ก็ไม่ได้เพื่อน ๆ กลับหนีหายไปหมด ไม่ใส่ใจดูแลเขาเลยกลับห่างหาย ไปกันหมด …
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  ” เพื่อนกินหาง่าย แต่เพื่อนตายและเพื่อนที่คิดจะร่วมทุกข์ร่วมสุขนั้น หายากยิ่งนักส่วนใหญ่ที่คบจะหวังเพียงสิ่งตอบแทนเท่านั้น ”




ม้ากับลา

image
มีชายพ่อค้าคนหนึ่งนำของไปขายต่างเมือง คิดจะถนอมม้าไว้ใช้
เมื่อถึงคราวจำเป็น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่หลังลา
ส่วนม้า นั้นปล่อยให้เดินตัวเปล่า
ลาถูกบรรทุกของหนัก ๆก็ล้มเจ็บลง

image
มันพูดกับม้าว่า “ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ ไหวแล้ว
ถ้าท่านช่วยแบ่งเบาภาระไปบ้าง ข้าคงจะหายเจ็บกลับมามีแรงขึ้นบ้าง
แล้วข้าจะเอาของกลับมาใส่หลังข้าดังเดิม ถ้าท่านไม่ช่วยข้า ข้าคงต้องตาย เป็นแน่”
แต่ม้าก็ไม่ฟังเสียงขอร้อง กลับบอกกับลาว่า ให้ทนไปก่อนเถิด
ลาก็เลยไม่พูดอะไรอีก อุตส่าห์เดินต่อไปไม่ช้าก็หมดแรงล้มลงตาย

image
เจ้าของก็แก้เอาสินค้าบนหลังลา เอามาใส่หลังม้า
แถมยังเอาศพลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปอีกด้วย ม้าครางว่า
“พุทโธ่เอ๋ย เรานี่ช่างชั่วเสียจริงๆ ไม่เห็นใจผู้อื่น เดี๋ยวนี้ถูกบรรทุกของหนักแล้ว
มิหนำซ้ำ…ยังมีศพลาเพิ่มขึ้นอีกเสียด้วย”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนที่ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจมีความเมตตาให้กับคนอื่นนั้น…ทุกข์นั้น…ก็จะมาตกกับตัวเอง”









มดกับดักแด้

image
ในวันอากาศแจ่มใส มดตัวหนึ่งกำลังวิ่งออกหาอาหารอย่างคล่องแคล่ว
มันเดินข้ามผ่านดักแด้ตัวหนึ่ง ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายจากดักแด้เป็นผีเสื้อ
ดักแด้ที่ขยับหางของมัน ทำให้มดจ้องมองด้วยความสนใจ และรู้ว่าสิ่งที่มันเห็นมีชีวิต
เจ้ามดไม่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อน มันรู้สึกไม่ค่อยชอบและนึกรังเกียจ
“น่าสงสารจริง ๆ เล๊ย…ย” มดร้องด้วยเสียงเหยียดหยัน
“เจ้านี่ช่างมีโชคชะตาที่น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ ในขณะที่ข้าสามารถที่จะวิ่งไปไหนมาไหน
ได้ตามที่ใจต้องการ ปีนขึ้นยอดต้นไม้ แต่เจ้าได้แต่นอนนิ่งในเปลือกของตัวเองอยู่ตรงนี้
และมีแรงแค่ขยับหางเท่านั้น”
ดักแด้ได้ยินคำเหยียดหยันที่มดพูดออกมาทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้โต้ตอบใด ๆ

image
ไม่กี่วันต่อมา เมื่อมดตัวดังกล่าวเดินผ่านมาทางนั้นอีกครั้ง ก็ไม่พบสิ่งใดอีก
นอกจากเปลือกของดักแด้ที่ยังคงอยู่บริเวณนั้น
มันประหลาดใจว่าสิ่งที่อยู่ในเปลือกกลายไปเป็นอะไร
มดรู้สึกทันทีว่าตัวเองกำลังได้รับร่มเงาจากปีกที่สวยงามของผีเสื้อ

image
“เห็นข้าไหม” ผีเสื้อพูด
“ เจ้าน่าเวทนายิ่งนัก! ตอนนี้ เจ้าสามารถโอ้อวดพละกำลังของเจ้าในการวิ่ง
และปีนไต่ได้เท่าที่เจ้าอยากให้ข้าฟังได้นะ…”
จากนั้น ผีเสื้อก็บินขึ้นไปในอากาศ มุ่งหน้าไปตามสายลมที่แผ่วเบาในฤดูร้อน
จนลับสายตาของมดไปตลอดกาล…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น”









นกเอี้ยงกับควายชรา

image
นานมาแล้วมีเจ้านกเอี้ยงอยู่ตัวหนึ่งมีนิสัยเก่งกล้าและเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด เจ้านกเอี้ยง
จะไม่เคยเสียเปรียบให้แก่สัตว์ตัวไหนและจะไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ใคร จนสัตว์แถวนั้น
รู้จักนิสัยมันดีเพราะมันไม่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ใคร

image
อยู่มาวันหนึ่งเจ้านกเอี้ยงได้บินไปที่นาข้าวแห่งหนึ่งเพื่อเข้าไปกินข้าว ที่ชาวนา
นำมาตากไว้ ซึ่งเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยว เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จ ชาวนาจะพากันนำ
ข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวมา ได้นำมาตากไว้ตามท้องนาเมื่อแห้งดีก็นำมาสี เป็นข้าวสาร
เพื่อนำมารับประทานกัน

image
ส่วนเจ้านกเอี้ยงกำลังตั้งหน้าตั้งตารีบบินไปที่นาข้าว เพื่อกินเมล็ดข้าวแต่พอ บินได้
ไม่ทันไรก็เจอหุ่นไล่กาเข้ามันตกใจรีบบินหนีทันที มันนึกว่าเป็นคนจึงบินไปอีกทาง

image
แต่ด้วยความรีบร้อนจึงบินไปชนกับควายชราเข้าอย่างแรง ทำให้มันตกลงมาที่พื้น
ทันที “อุ้ยเจ็บจังเลย” นกเอี้ยงอุทานด้วยความเจ็บ

image
ควายชรากล่าวว่า “ท่านไม่เห็นข้าหรือไงข้ายืนอยู่ที่นี่นานแล้ว และเห็นเจ้ากำลังบิน
ลงมาเพื่อขโมยข้าวกินอย่าปฏิเสธข้าเลย” นกเอี้ยง “ข้าไม่ได้ขโมยสักหน่อย ท่านมี
หลักฐานหรือถ้าไม่มีอย่ากล่าวหากันแบบนี้มันไม่ดีเลยนะ” ควายชรา ในเมื่อหลักฐาน
อยู่ต่อหน้าข้าแล้วจะให้เอามาอีกทำไมแต่ข้าว่าต่อให้มีหลักฐานเจ้าก็ไม่ยอมรับอยู่ดี

image
. เพราะเจ้ามีนิสัยเอาเปรียบผู้อื่นเสมอต่อให้ข้าหามาได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่
จะมาพูดกับ เจ้าให้เสียเวลาเปล่า” แล้วนกเอี้ยงบินจากไป

image
ควายชราก้มหน้ากินหญ้าต่อไม่สนใจเจ้านกเอี้ยง แต่ด้วยนิสัยของเจ้านกเอี้ยงที่ไม่
ยอมใคร จึงย้อนกลับมาและกล่าวว่า “ข้ากลับมาคิดดูแล้วว่าถ้าข้าจะกินข้าวที่นา
มันจะเกิดอะไรขึ้นในเมื่อนาข้าวแปลงนี้ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะมาห้ามปาก
ของข้าได้เพราะฉะนั้นเจ้านั่นล่ะที่ควรหลีกไปให้พ้น”

image
พอสิ้นเสียงเจ้านกเอี้ยง เสียงที่ตอบกลับมาหาใช่เสียงของเจ้าควายชรา
ไม่แต่กลับเป็นเสียงของชาวนา “ข้าว่าเจ้านั่นล่ะควรหลีกไปเพราะนาข้าวของข้า
ไม่ต้องการนกเอี้ยงอย่างเจ้าหรอก ควายถึงจะชราแต่ก็ยังช่วยดำนาได้แต่เจ้าซิ
มีแต่มาลักขโมยกินข้าวเปลือกพวกข้าให้เสียหายมากกว่า ถ้าขืนชักช้า เจ้าต้องโดนแน
่จะไปหรือไม่ไป” นกเอี้ยงรีบบินหนีทันทีไม่กล้ากลับมาอีกเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าคิดที่จะอวดเก่งและแสดงอำนาจต่อผู้อื่นควรดูให้ดีเสียก่อนอย่าคิดว่าที่ที่ตัวเอง
เคยอยู่สามารถรังแกผู้อื่นได้ แล้วเป็นที่อื่นก็จะทำนิสัยเช่นนั้นอีกยิ่งไม่ควรทำเพราะ
ที่แต่ละแห่งมันไม่เหมือนกัน























ลากับพ่อค้าเกลือ

image
พ่อค้าเร่คนหนึ่ง พาลาของเขาไปที่ชายทะเลเพื่อซื้อเกลือ
เส้นทางกลับบ้านของเขานั้น ต้องข้ามลำธาร
ลาบรรทุกเกลือมาก้าวพลาด ล้มลงโดยบังเอิญ
พอลุกขึ้นมา ของที่บรรทุกมานั้นเบาขึ้นเป็นอันมาก
เพราะน้ำทำให้เกลือ ในกระสอบละลายไปจนหมด

image
พ่อค้าเร่กลับมาซื้อเกลือใส่ลงไปใหม่จำนวนมากกว่าเก่า
เมื่อมาถึงลำธาร ลาแกล้งล้มลงที่จุดเดิม
เมื่อยืนขึ้น น้ำหนักของที่บรรทุกมาลดลงไปมาก
มันร้องอย่างได้รับชัยชนะ เหมือนกับว่าได้สิ่งที่ปรารถนา
พ่อค้าเร่ เห็นเล่ห์กลของลา
จึงพามันกลับมาที่ชายทะเลอีกเป็นครั้งที่สาม

image
คราวนี้ เขาซื้อสินค้าที่เป็นฟองน้ำแทนที่จะซื้อเกลือ
ลาเล่นเกมส์โง่ๆ อีกครั้ง คือแกล้งล้มลงเมื่อมาถึงลำธารสายเดิม
ฟองน้ำนั้นดูดซับน้ำจนอิ่มตัว เพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีกมาก
ดังนั้น เล่ห์กลของลา กลับเล่นงานตัวมันเอง
เพราะขณะนี้ น้ำหนักบนหลังของลา เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่านั่นเอง

image
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ซื่อตรง…ย่อมได้รับผลร้ายจากการกระทำของตนเอง”











สุนัขจิ้งจอกกับนกอินทรีย์

image
สุนัขจิ้งจอกกับนกอินทรีย์ อาศัยอยู่ด้วยกันฉันเพื่อนบ้านเป็นเวลานาน
นกอินทรีย์ทำรังอยู่บนยอดไม้
ส่วนสุนัขจิ้งจอก ขุดโพรงอาศัยอยู่ที่โคนต้นไม้เดียวกัน

image
อยู่มาวันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกออกไปหากิน
นกอินทรีย์หาอาหารไม่ได้จึงไม่มีอะไรที่จะให้พวกลูกๆของมันกิน
มันจึงบินโฉบลงมา คาบเอาลูกของสุนัขจิ้งจอกขึ้นไปไว้ในรัง
หวังจะให้เป็นอาหารแก่ลูกๆ ตน
คิดเข้าข้างตัวเองว่าถึงอย่างไร สุนัขจิ้งจอกก็คงขึ้นมาแก้แค้น
และทำอะไรมันไม่ได้ เพราะมันอยู่ในที่ที่สูงมาก

ครั้นเมื่อแม่สุนัขจิ้งจอกกลับมา เห็นลูกหายไป
และรู้ว่านกอินทรีย์บินลงมาคาบเอาลูกของตัวไปก็ต่อว่านกอินทรีย์
จึงขอร้องให้นกอินทรีย์ส่งลูกคืนมาให้เสียแต่โดยดี
แต่นกอินทรีย์ก็ทำเป็นเพิกเฉยไม่สนใจ

สุนัขจิ้งจอกเห็นว่าการขอร้องนกอินทรีย์ไร้ผล
จึงวิ่งไปที่แท่นบูชาบริเวณทุ่งใกล้ ๆ
และคาบคบไฟที่เขาจุดเผาแพะในพิธีบวงสรวง

image
และเอากลับมาจุดไฟบริเวณโคนต้นไม้นั้น จนไฟลุกควันโขมง
นกอินทรีย์เห็นทีไม่ได้การ กลัวลูกน้อยและรังของตนจะถูกไฟเผา
จึงยอมนำเอาลูกสุนัขจิ้งจอกกลับมาคืนแม่ของมัน

image
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนพาลหรือทรราชย่อมกระทำความชั่วช้าเลวทราม…โดยไม่เข้าใจความเดือดร้อนทุกข์ยากของผู้อื่น…จนกว่าจะได้ประสบกับตนเอง










นกยูงกับนกกระสา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว… มีนกยูงตัวหนึ่งซึ่งหลงใหลในความงามของตัวเองอยู่เสมอ และชอบอวดว่าตนเป็นนกยูง ที่งดงามกว่านกชนิดอื่น และไม่มีนกตัวไหนจะงามเท่าตัวเองอีกแล้ว
image
อยู่มาวันหนึ่ง เจ้านกยูงได้พบกับนกกระสา มันจึงได้อวดกางปีกและแพนหางตัวเองขยายออก เพื่ออวดให้นกกระสา ดูว่างามกว่านกกระสาเท่าใด และมีสีสันที่สวยงาม เมื่อนกกระสาเห็นเช่นนั้นก็กล่าวชมว่า ” ท่านมีหางที่สวยงามดูดีเหลือเกินไม่มีใครจะสง่างาม เท่าท่านได้อีกแล้ว” เมื่อนกยูงได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ่งแพนหาง ออกไม่ยอมหยุด เดินอวดความงาม ไปมาอย่างภาคภูมิใจ
image
นกกระสากล่าวต่อว่า “ท่านต้องเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงไม่ใช่มีแต่ความสวยงามเท่านั้น ต้องทำให้ เกิดประโยชน์ และช่วยเหลือตัวเองได้ด้วย เขาถึงจะเรียกว่าความงามที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ไร้ค่า ไร้ประโยชน์แบบนั้น ท่านทำอย่างข้าได้หรือเปล่า บินขึ้นสู่ท้องฟ้า และบินไปทุกที่ที่ตัวเองต้องการอยากจะไป”
image
เมื่อนกยูงฟังนกกระสาพูดเช่นนั้นก็ลองทำบ้าง จึงกางปีกที่จะบิน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะปีกและหาง ของนกยูงจะใหญ่และหนักมาก จะบินขึ้นท้องฟ้าเหมือนกับนกกระสาก็ทำไม่ได้
image
เมื่อนกกระสาเห็นนกยูงพยายามทำเท่าใดก็ทำไม่ได้ นกกระสาก็บินจากไป ปล่อยให้นกยูงนึกเปรียบเทียบเองว่า ที่ตนกล่าวแต่แรกนั้นควรที่จะภาคภูมิใจหรือไม่ เมื่อนกยูงพยายามเท่าใด ก็ไม่ได้สักครั้ง จนหมดกำลังที่จะทำ นกยูงได้แต่มองท้องฟ้าและก็นึกเสียใจที่ได้อวดเก่งกับใคร ๆ มาตลอด
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ” อย่าหลงตัวเองว่าตนเองเก่งเหนือกว่าคนทั้งปวง คนที่ฉลาดย่อมรู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ”






คำเตือนของนกนางแอ่น

image
นกนางแอ่นตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับฝูงนกอื่นๆที่หมู่บ้านริมทุ่ง
วันหนึ่งนกนางแอ่นเห็นชาวไร่กำลังหว่านเมล็ดป่าน
ก็รีบบินกลับมาเตือนเพื่อนนกทั้งหลาย
เพราะเมล็ดป่านเหล่านี้ จะเติบโตเป็นต้นป่าน…
ให้ชาวไร่นำมาถักเป็นตาข่ายและบ่วงดักนก

“พวกเจ้ารีบไปจิกกินเมล็ดป่านให้หมดเถอะ ก่อนที่มันจะงอกเป็นต้นอ่อน”
แต่พวกนกกลับไม่สนคำเตือนของนกนางแอ่น
จนกระทั้งเมล็ดป่านงอก นกนางแอ่นก็เตือนขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้ารีบจิกกินต้นอ่อน ตอนนี้ก็ยังไม่สายจนเกินไปนะ”
พวกนกทำท่ารำคาญตวาดกลับไปว่า
“นี้เจ้านกนางแอ่น…ถ้ากลัวมากก็ไปหากินที่อื่นเสียสิ”

image
นกนางแอ่นจึงบินจากไป
เมื่อต้นป่านโตเต็มที่ ชาวไร่ก็นำมาทำเป็นตาข่ายดักนก
พวกนกทั้งหลายต่างพลาดท่าบินไปติดตาข่าย
นกตัวหนึ่งสำนึกถึงคำเตือนของนกนางแอ่นจึงรำพันขึ้นว่า
“นี้ถ้าเราเชื่อนางแอ่นตั้งแต่แรก…ก็คงไม่ถูกจับอย่างนี้หรอก”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“อย่าเฝ้ารอให้ภัยมาถึงก่อน…จึงจะคิดแก้ไข”





นกกระสากับห่าน

ที่ริมหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นที่อาศัยของห่านและนกกระสา
ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน และมักออกหากินด้วยกันเสมอ
วันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลียบหนองน้ำอยู่
มีนกกระยางตัวหนึ่งบินผ่านมา
“นี่แน่ะเพื่อน ตรงโน้นมีหนองน้ำอีกแห่งหนึ่งที่นั่นมี
…กุ้ง หอย ปู ปลา เยอะแยะเชียว” นกกระยางบอก
นกกระสาและห่านจึงพากันบินไปยังหนองน้ำตามที่นกกระยางได้บอกมา
ที่หนองน้ำแห่งนั้นมีอาหารอุดมสมบูรณ์จริงตามที่นกกระยางพูด

image
ห่านนั้นกินอาหารมากจนพุงกางในขณะที่นกกระสากินพออิ่ม
“นานๆ ถึงจะพบแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์อย่างนี้
ทำไมท่านถึงกินเพียงนิดเดียวล่ะ” ห่านถาม
“ข้าอิ่มแล้ว ถ้ากินมากเกินไป ข้ากลัวว่าจะบินกลับไม่ไหว” นกกระสาตอบ
“แต่ข้ายังกินได้อีกเยอะ” ห่านพูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่อไป

image
ขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นนกทั้งสองเข้า
นายพรานจึงยกธนูขึ้นเล็งไปที่นกสองตัวนั้นทันที
นกกระสาบังเอิญเหลือบมาเห็นนายพรานเข้าพอดี
จึงร้องเตือนห่าน…ก่อนที่ตัวเองจะรีบบินหนีไป
ห่านซึ่งกินอาหารมากเกินไป…จนบินหนีไม่ไหว
มันจึงถูกนายพรานยิงตายในที่สุด…

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความโลภ…ความไม่รู้จักพอ…อาจนำภัยมาสู่ตนได้”







 
Copyright © -2012 นิทานสอนเด็ก All Rights Reserved | Template Design by Favorite Blogger Templates | Blogger Tips and Tricks