ไม่นานกระรอกก็มาถึงโพรงของมันและมันได้ชักชวนสัตว์อื่น ๆ ให้เข้ามาหลบฝนได้ เพราะโพรงกระรอกมันเป็นโพรงที่ใหญ่ สามารถอาศัยได้หลายตัว ไม่ทันสิ้นเสียง เจ้านกแก้วก็ร้องขึ้นว่า “พวกเจ้าบังอาจมากนะ ที่เข้ามาในโพรงบ้านของข้า ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้ามาอาศัยอยู่ด้วยหรอก เพราะข้าไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนอื่นมาก ๆ ข้าจะไม่ยอมแบ่งอาหารให้พวกเจ้าด้วย ถ้าฝนหยุดตก แล้วพวกเจ้ารีบออกไปให้พ้นนะ”
กระรอกเอ่ยขึ้นทันที ” โพรงนี้เป็นบ้านของข้า ข้าอุตสาหาเศษไม้เศษหญ้ามาเก็บไว้เพื่อรับลมหนาว เจ้านกแก้วตัวดีเจ้ายังมาพูดดีอีกว่าเป็นบ้านเจ้า พวกท่านทั้งหลาย อย่าไปใส่ใจกับนกแก้วตัวนี้เลย รีบเข้ามาหลบฝนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายได้นะ อาหารที่ข้าหามาได้ก็มีอยู่ ข้าจะแบ่งให้พวกท่าน อาจจะไม่มากพอสำหรับพวกท่านแต่ก็พออุ่นท้องแก้หิวได้ไปวันหนึ่งนะ”
นกแก้วไม่ยอมออกจากโพรงกระรอกแถมยังพูดจาไม่เพราะอีก กระรอกทนต่อพฤติกรรมของนกแก้วไม่ไหว “เจ้านกแก้วเจ้านี้บังอาจมากนะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ๆเจ้าอาศัยอยู่เป็นบ้านของข้า ถ้าข้าไล่เจ้าออกบ้างจะเป็นอย่างไร”
นกแก้วทำเป็นไม่สนใจ ดังนั้นเจ้านกแก้วจึงเอยขึ้นว่า “ถึงข้าจะไม่ได้เป็นคนหาอาหารมาเก็บไว้ และไม่ได้หาเศษไม้เศษหญ้า มากองไว้ ข้าก็จะไม่ยอมให้พวกเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ ที่นี่เด็ดขาดเพราะข้าเป็นคนเข้าแรกที่บินเข้ามา ก่อนทุกอย่างที่อยู่ที่นี่ ก็ต้องตกเป็นของข้าทุกอย่าง ถึงอาหารที่เจ้าเก็บมาข้าจะกินไม่ได้ ข้าก็จะ ไม่ยอมให้พวกเจ้าได้กินเช่นกัน”
พวกสัตว์ต่างพากันเดินออกจากโพรงทันที เพราะขืนอยู่ต่อก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น พวกสัตว์รู้สึกไม่พอใจ เจ้านกแก้วที่พูดจาไม่รู้จักคิดว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร ทั้งๆที่รู้ดีว่าตัวเองไปยึดครองที่ของผู้อื่น
นิทานอีสปเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : “อย่าเป็นคนเห็นแก่ได้ โดยที่ตัวเองไม่ได้ลงแรงสร้างหรือสะสมไว้ เพียงเพื่อต้องการ
เอาชนะผู้อื่น และสิ่งที่แย่งชิงมากลับไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างใด “